top of page

MARKETING
UP SKILL

อัพเดตความรู้  อัพเลเวลพลังของแบรนด์

ให้แข็งแกร่งในโลกทีมีการแข่งขันอันดุเดือด

logo-web-02.png

DIGITAL  MARKETING BUSINESS SOLUTION

ศัพท์การตลาดออนไลน์ รู้ไว้ พร้อมพลิกเกมธุรกิจให้รุ่ง


ศัพท์การตลาดออนไลน์ รู้ไว้ พร้อมพลิกเกมธุรกิจให้รุ่ง

โลกธุรกิจยุคปัจจุบันเต็มไปด้วยการแข่งขัน ผู้ประกอบการจำนวนมากหันมาใช้ช่องทางออนไลน์เพื่อขยายธุรกิจและเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ การตลาดออนไลน์จึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ และ "ศัพท์การตลาด" ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณเข้าใจและสื่อสารในโลกดิจิทัลได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือมือเก๋าในวงการ การเรียนรู้ศัพท์การตลาดออนไลน์อย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งจำเป็น เพราะโลกดิจิทัลมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีแนวคิดและวิธีการทำการตลาดใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดทุกเทรนด์ Mask Hunter ได้รวบรวม "ศัพท์การตลาด" ที่ได้ยินบ่อยและมีความสำคัญมาไว้ที่นี่ เราจะพยายามอัปเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้คุณสามารถเรียนรู้และนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพ


ทำไมต้องรู้ศัพท์การตลาดออนไลน์?

  • สื่อสารได้อย่างมืออาชีพ : เมื่อคุณรู้จักศัพท์เฉพาะ จะช่วยให้คุณคุยงานกับทีมการตลาดหรือเอเจนซี่ได้อย่างคล่องแคล่ว

  • เข้าใจกลยุทธ์ทางการตลาดออนไลน์ : การรู้จักศัพท์ต่างๆ จะช่วยให้คุณเข้าใจกลยุทธ์ที่ทีมงานนำมาใช้ และสามารถให้ข้อเสนอแนะได้อย่างตรงจุด

  • ติดตามผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ : การวัดผลการตลาดจะง่ายขึ้น เมื่อคุณรู้จักตัวชี้วัดสำคัญต่างๆ


1. A/B Testing : 

กระบวนการทดสอบทางการตลาดที่เปรียบเทียบสองเวอร์ชัน (A และ B) ขององค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่ง เช่น หน้าเว็บไซต์ โฆษณา หรืออีเมล เพื่อดูว่าเวอร์ชันใดมีประสิทธิภาพดีกว่าในการบรรลุเป้าหมายที่กำหนด เช่น การเพิ่มยอดขาย การเพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิก หรือการเพิ่มจำนวนคลิก

ทำไม A/B Testing ถึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

  • ตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูล : แทนที่จะเดาหรือคาดคะเนว่าอะไรจะดีที่สุด A/B Testing ช่วยให้คุณมีข้อมูลจริงมาสนับสนุนการตัดสินใจ

  • เพิ่มประสิทธิภาพ : การทดสอบอย่างต่อเนื่องช่วยให้คุณปรับปรุงองค์ประกอบต่าง ๆ จนได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

  • เข้าใจลูกค้า : A/B Testing ช่วยให้คุณเข้าใจว่าอะไรที่ลูกค้าชอบหรือไม่ชอบ ซึ่งเป็นประโยชน์ในการวางกลยุทธ์ต่อไป

  • ลดความเสี่ยง : ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คุณสามารถทดสอบกับกลุ่มเล็ก ๆ ก่อน เพื่อดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร

A/B Testing ใช้ที่ไหนได้บ้าง?

  • หน้าเว็บไซต์ : ทดสอบปุ่ม CTA, สี, รูปภาพ, ตำแหน่งขององค์ประกอบต่างๆ, หรือแม้กระทั่งการจัดวางเลย์เอาต์ทั้งหมด

  • โฆษณา : ทดสอบพาดหัว, ข้อความ, รูปภาพ, หรือกลุ่มเป้าหมาย

  • อีเมล : ทดสอบหัวเรื่อง, เนื้อหา, ปุ่ม CTA, หรือเวลาในการส่ง


2. Call to Action (CTA) : 

ข้อความ คำพูด หรือปุ่มบนเว็บไซต์ โฆษณา หรือสื่อออนไลน์อื่นๆ ที่มีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ชมดำเนินการบางอย่างทันที เช่น "ซื้อเลย" "สมัครสมาชิกฟรี" "ดาวน์โหลดตอนนี้" หรือ "อ่านเพิ่มเติม" CTA ที่ดีจะต้องชัดเจน กระชับ และดึงดูดใจ เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจว่าพวกเขาควรทำอะไรต่อไป และทำไมพวกเขาควรทำมัน

ทำไม CTA ถึงสำคัญในการตลาดออนไลน์?

  • เพิ่ม Conversion Rate : CTA ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า หรือทำให้พวกเขาดำเนินการตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ เช่น การกรอกแบบฟอร์ม การสมัครรับข่าวสาร หรือการซื้อสินค้า

  • นำทางผู้ชม : CTA ช่วยให้ผู้ชมรู้ว่าพวกเขาควรทำอะไรต่อไปบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ของคุณ สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ชมไม่รู้สึกสับสน และนำพวกเขาไปสู่เส้นทางที่คุณต้องการ

  • วัดผลได้ : คุณสามารถติดตามและวัดผลประสิทธิภาพของ CTA ได้ ทำให้คุณรู้ว่า CTA แบบไหนที่ทำงานได้ดี และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของคุณให้ดียิ่งขึ้น

เคล็ดลับในการสร้าง CTA ที่มีประสิทธิภาพ

  • ใช้คำกริยาที่ชัดเจน : บอกผู้ชมว่าคุณต้องการให้พวกเขาทำอะไร เช่น "คลิกที่นี่" "สมัครเลย" หรือ "ซื้อตอนนี้"

  • สร้างความรู้สึกเร่งด่วน : ใช้คำหรือวลีที่กระตุ้นให้ผู้ชมดำเนินการทันที เช่น "จำนวนจำกัด" "เฉพาะวันนี้" หรือ "อย่าพลาด"

  • เน้นประโยชน์ : บอกผู้ชมว่าพวกเขาจะได้อะไรจากการคลิก CTA ของคุณ เช่น "รับส่วนลดพิเศษ" "เข้าถึงเนื้อหาสุด Exclusive" หรือ "เรียนรู้เคล็ดลับดีๆ"

  • ทำให้ CTA โดดเด่น : ใช้สี ขนาด และตำแหน่งที่ทำให้ CTA ของคุณสะดุดตาและแตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของหน้าเว็บ

  • ทดสอบและปรับปรุง : ทดลองใช้ CTA หลายๆ แบบ และดูว่าแบบไหนที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุง CTA ของคุณให้ดียิ่งขึ้น

ตัวอย่าง CTA ที่ดีในการตลาดออนไลน์

  • บนเว็บไซต์ : "สมัครรับจดหมายข่าวเพื่อรับส่วนลด 10%" หรือ "อ่านบทความฉบับเต็ม"

  • ในโฆษณา : "ซื้อเลย" หรือ "เรียนรู้เพิ่มเติม"

  • บนโซเชียลมีเดีย : "ติดตามเรา" หรือ "แชร์โพสต์นี้"


3. Analytics : 

กระบวนการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือแคมเปญการตลาดออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้สามารถบอกเราได้ว่า

  • ใครเข้าชมเว็บไซต์หรือแอปของเรา

  • พวกเขาทำอะไรบ้างบนแพลตฟอร์มของเรา

  • แคมเปญการตลาดของเราประสบความสำเร็จแค่ไหน

  • เราจะปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ใช้และเพิ่มยอดขายได้อย่างไร

ทำไม Analytics จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

  • เข้าใจผู้บริโภค : Analytics ช่วยให้คุณรู้จักลูกค้าของคุณอย่างลึกซึ้ง ทั้งข้อมูลด้านประชากรศาสตร์ ความสนใจ พฤติกรรมการใช้งาน และอื่นๆ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งเนื้อหาและแคมเปญให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น

  • วัดผลแคมเปญ : Analytics ช่วยคุณติดตามและวัดผลประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ คุณจะรู้ว่าแคมเปญใดทำงานได้ดี แคมเปญใดควรปรับปรุง และสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ : Analytics ช่วยคุณระบุปัญหาต่างๆ บนเว็บไซต์หรือแอป เช่น หน้าเพจที่ผู้ใช้มักออกจากเว็บไซต์ หรือจุดที่ผู้ใช้เกิดความสับสน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า

  • เพิ่มยอดขายและ ROI : เมื่อคุณเข้าใจลูกค้าและประสิทธิภาพของแคมเปญ คุณสามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างชาญฉลาด นำไปสู่การเพิ่มยอดขายและผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีขึ้น

เครื่องมือ Analytics ยอดนิยม

  • Google Analytics : เครื่องมือฟรีที่ทรงพลังและได้รับความนิยมมากที่สุด

  • Adobe Analytics : เครื่องมือระดับองค์กรที่มีฟีเจอร์หลากหลาย

  • Matomo : เครื่องมือโอเพ่นซอร์สที่เน้นความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

เริ่มต้นใช้งาน Analytics

  1. เลือกเครื่องมือ Analytics ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณ

  2. ติดตั้งโค้ดติดตามบนเว็บไซต์หรือแอปของคุณ

  3. กำหนดเป้าหมายที่คุณต้องการติดตาม เช่น ยอดขาย การลงทะเบียน หรือการดาวน์โหลด

  4. ศึกษาและทำความเข้าใจรายงานต่างๆ ที่เครื่องมือ Analytics จัดเตรียมให้

  5. ใช้ข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์ เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของคุณ


4. API (Application Programming Interface) : 

ชุดของคำสั่ง โปรโตคอล และเครื่องมือสำหรับสร้างซอฟต์แวร์แอปพลิเคชัน พูดง่าย ๆ คือ API เป็นตัวกลางที่ช่วยให้ระบบหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้อย่างราบรื่น

API สำคัญอย่างไรต่อการตลาดออนไลน์?

  1. การผสานรวมระบบ : API ช่วยให้คุณเชื่อมต่อระบบต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำการตลาดออนไลน์ เช่น ระบบ CRM, ระบบอีเมลมาร์เก็ตติ้ง, ระบบวิเคราะห์ข้อมูล และโซเชียลมีเดีย เข้าด้วยกัน ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

  2. การเข้าถึงข้อมูล : API ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Facebook, Google, หรือ Twitter เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การตลาดให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า

  3. การสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น : API ช่วยให้คุณสร้างฟีเจอร์และฟังก์ชันใหม่ ๆ บนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณ เช่น ระบบแนะนำสินค้า ระบบรีวิว หรือระบบชำระเงิน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

  4. การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน : API ช่วยลดความซับซ้อนในการทำงานและประหยัดเวลาในการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทำให้ทีมการตลาดสามารถโฟกัสกับงานที่สำคัญกว่าได้

ตัวอย่างการใช้งาน API ในการตลาดออนไลน์

  • การดึงข้อมูลจากโซเชียลมีเดีย : API ของ Facebook, Twitter, หรือ Instagram ช่วยให้คุณดึงข้อมูล เช่น จำนวนผู้ติดตาม, จำนวนการมีส่วนร่วม, หรือข้อมูลประชากรศาสตร์ของผู้ใช้งาน เพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงเนื้อหาให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย

  • การสร้างแชทบอท : API ของแพลตฟอร์มแชทบอท เช่น Dialogflow หรือ ManyChat ช่วยให้คุณสร้างแชทบอทอัจฉริยะเพื่อตอบคำถามลูกค้า, ให้ข้อมูลสินค้า, หรือรับออเดอร์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

  • การเชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน : API ของผู้ให้บริการชำระเงิน เช่น PayPal หรือ Stripe ช่วยให้คุณรับชำระเงินออนไลน์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย


5. Algorithm : 

ชุดคำสั่งหรือกฎเกณฑ์ที่ใช้ในการประมวลผลข้อมูล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ ในบริบทของการตลาดออนไลน์ Algorithm คือระบบที่ Search Engine อย่าง Google ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ต่างๆ ในผลการค้นหา

ทำไม Algorithm ถึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

Algorithm เป็นตัวกำหนดว่าเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในตำแหน่งใดเมื่อมีคนค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ ยิ่งเว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้นๆ ก็ยิ่งมีโอกาสที่ผู้คนจะคลิกเข้ามาดู และนั่นหมายถึงโอกาสในการขายที่เพิ่มขึ้น

SEO และ Algorithm : สัมพันธ์กันอย่างไร?

SEO หรือ Search Engine Optimization คือกระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา การทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพต้องอาศัยความเข้าใจใน Algorithm ของ Search Engine เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับเกณฑ์ที่ Algorithm กำหนด

ปัจจัยสำคัญที่ Algorithm พิจารณา

  • คุณภาพของเนื้อหา : เนื้อหาต้องมีประโยชน์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน และไม่ซ้ำกับเว็บไซต์อื่น

  • ความเกี่ยวข้องของคำค้นหา : เนื้อหาต้องเกี่ยวข้องกับคำค้นหาที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามา

  • ประสบการณ์ผู้ใช้งาน : เว็บไซต์ต้องโหลดเร็ว ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานบนมือถือ

  • Backlink : จำนวนและคุณภาพของลิงก์จากเว็บไซต์อื่นที่ชี้มายังเว็บไซต์ของคุณ

เคล็ดลับในการปรับตัวให้ทันกับ Algorithm

  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ : เนื้อหาที่ดีคือหัวใจสำคัญของ SEO ที่ดี

  • ใช้ Keyword ที่เกี่ยวข้อง: วิจัยและเลือกใช้ Keyword ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน

  • ปรับปรุงความเร็วของเว็บไซต์ : เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะทำให้ผู้ใช้งานหงุดหงิดและออกจากเว็บไซต์ไป

  • สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ : ลิงก์จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณ


6. Bounce Rate : 

อัตราการตีกลับ ซึ่งบ่งบอกถึงเปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าชมที่ออกจากเว็บไซต์หลังจากดูเพียงหน้าเดียว โดยไม่มีการโต้ตอบหรือสำรวจเนื้อหาเพิ่มเติม

Bounce Rate ส่งผลต่อการตลาดออนไลน์อย่างไร?

  • SEO : Bounce Rate สูงอาจส่งสัญญาณไปยัง Google ว่าเว็บไซต์ของคุณไม่มีคุณภาพหรือไม่เกี่ยวข้องกับคำค้นหา ซึ่งอาจส่งผลเสียต่ออันดับการค้นหาของคุณ

  • ประสบการณ์ผู้ใช้ : Bounce Rate สูงบ่งบอกว่าผู้เข้าชมไม่พบสิ่งที่ต้องการหรือไม่พอใจกับประสบการณ์บนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการขายหรือสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า

  • ประสิทธิภาพแคมเปญ : หากคุณลงทุนในโฆษณาออนไลน์ แต่ผู้เข้าชมคลิกเข้ามาแล้วออกไปทันที นั่นหมายความว่าเงินที่ลงทุนไปสูญเปล่า

สาเหตุที่ทำให้ Bounce Rate สูงและวิธีแก้ไข

  • เนื้อหาไม่ตรงกับความคาดหวัง : ผู้เข้าชมอาจคลิกเข้ามาเพราะคาดหวังสิ่งหนึ่ง แต่พบเจออีกสิ่งหนึ่ง ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณตรงกับคำค้นหาและคำโฆษณาที่ใช้

  • เว็บไซต์โหลดช้า : ในยุคที่ทุกอย่างรวดเร็ว ผู้คนไม่มีความอดทนรอเว็บไซต์โหลดนานๆ ปรับปรุงความเร็วเว็บไซต์ของคุณให้เหมาะสม

  • การออกแบบและใช้งานยาก : เว็บไซต์ที่ซับซ้อนหรือใช้งานยากทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกหงุดหงิด ออกแบบเว็บไซต์ให้เรียบง่าย ใช้งานง่าย และเน้นไปที่เนื้อหาสำคัญ

  • เนื้อหาไม่มีคุณภาพ : หากเนื้อหาของคุณไม่มีประโยชน์หรือไม่น่าสนใจ ผู้เข้าชมก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อ สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย

  • ปัญหาทางเทคนิค : ลิงก์เสีย รูปภาพไม่แสดง หรือข้อผิดพลาดอื่นๆ ทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกไม่ประทับใจ ตรวจสอบเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านี้

เครื่องมือที่ช่วยในการวิเคราะห์ Bounce Rate

  • Google Analytics: เครื่องมือฟรีจาก Google ที่ช่วยติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์ของคุณ รวมถึง Bounce Rate

  • Heatmap tools: เครื่องมือที่แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าชมคลิกและโต้ตอบกับส่วนใดของเว็บไซต์ของคุณบ้าง ซึ่งช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมผู้ใช้และปรับปรุงเว็บไซต์ได้ตรงจุด


7. Brand Awareness : 

ระดับความตระหนักรู้และความคุ้นเคยที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ของคุณ เมื่อผู้บริโภครู้จักแบรนด์ของคุณดี พวกเขามีแนวโน้มที่จะเลือกซื้อสินค้าหรือบริการของคุณมากกว่าคู่แข่ง

ทำไม Brand Awareness ถึงสำคัญ?

  • สร้างความน่าเชื่อถือ : เมื่อผู้บริโภครู้สึกคุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณ พวกเขาจะมองว่าคุณมีความน่าเชื่อถือและเป็นมืออาชีพ

  • เพิ่มยอดขาย : ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่พวกเขารู้จักและไว้วางใจ

  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน : การมี Brand Awareness ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้คุณโดดเด่นจากคู่แข่ง

การตลาดออนไลน์ช่วยสร้าง Brand Awareness ได้อย่างไร?

การตลาดออนไลน์มีเครื่องมือและช่องทางมากมายที่ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายและสร้าง Brand Awareness ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น:

  • SEO (Search Engine Optimization) : การปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google จะช่วยให้ผู้คนค้นพบแบรนด์ของคุณได้ง่ายขึ้น

  • Content Marketing : การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ เช่น บทความ บล็อก วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิก จะช่วยดึงดูดผู้ชมและสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขา

  • Social Media Marketing : การใช้โซเชียลมีเดียเพื่อโปรโมทแบรนด์ สร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม และสร้างชุมชนออนไลน์ จะช่วยเพิ่มการรับรู้และความผูกพันต่อแบรนด์

  • Paid Advertising : การใช้โฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads จะช่วยให้คุณเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

เคล็ดลับในการสร้าง Brand Awareness ด้วยการตลาดออนไลน์

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจน : รู้ว่าใครคือลูกค้าของคุณ และสร้างเนื้อหาและแคมเปญที่ตรงใจพวกเขา

  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ : เนื้อหาที่ให้ข้อมูล ความรู้ หรือความบันเทิง จะช่วยดึงดูดผู้ชมและสร้างความประทับใจ

  • มีส่วนร่วมกับผู้ชม : ตอบคำถาม คอมเมนต์ และข้อความจากผู้ชม เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี

  • วัดผลและปรับปรุง : ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ และปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


Brand Awareness



8. Click-Through Rate (CTR) : 

อัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้ใช้กี่คนที่คลิกเข้าชมเว็บไซต์ของคุณเมื่อเทียบกับจำนวนครั้งที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหา ยิ่ง CTR สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งบ่งบอกว่าเนื้อหาของคุณน่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้ใช้มากเท่านั้น

ทำไม CTR ถึงสำคัญต่อ SEO?

  • เป็นสัญญาณบ่งบอกคุณภาพ : Google ใช้ CTR เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญในการประเมินคุณภาพของเว็บไซต์ หากเว็บไซต์ของคุณมี CTR สูง แสดงว่าเนื้อหาของคุณมีความเกี่ยวข้องและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับที่ดีขึ้น

  • เพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์ : CTR ที่สูงขึ้นหมายถึงมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่โอกาสในการสร้างยอดขายหรือ Conversion ที่เพิ่มขึ้น

  • ปรับปรุง User Experience : การปรับปรุง CTR จะช่วยให้คุณเข้าใจความต้องการของผู้ใช้มากขึ้น และสามารถปรับปรุงเนื้อหาและการออกแบบเว็บไซต์ให้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้นได้ดียิ่งขึ้น

วิธีเพิ่ม CTR ให้ปัง

  • เขียน Title และ Meta Description ให้น่าสนใจ : Title และ Meta Description คือสิ่งแรกที่ผู้ใช้เห็นในผลการค้นหา ใช้คำที่ดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้ใช้คลิก

  • ใช้ Rich Snippets : Rich Snippets ช่วยเพิ่มข้อมูลและความน่าสนใจให้กับผลการค้นหาของคุณ เช่น การแสดงรูปภาพ, เรตติ้ง, หรือราคาสินค้า

  • ปรับปรุง URL ให้สั้นและเข้าใจง่าย : URL ที่สั้นและมีความหมายจะช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจเนื้อหาของหน้าเว็บได้ง่ายขึ้น

  • ทดสอบ A/B Testing : ทดสอบ Title และ Meta Description ที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


    Click-Through Rate (CTR)


9. Conversion Rate : 

ตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของเว็บไซต์หรือแคมเปญของคุณในการเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า หรือให้ทำตามเป้าหมายที่คุณตั้งไว้ เช่น การซื้อสินค้า, การสมัครสมาชิก, หรือการดาวน์โหลดเอกสาร

ทำไม Conversion Rate จึงสำคัญ?

  • วัดผลความสำเร็จ : Conversion Rate ช่วยให้คุณประเมินได้ว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของคุณมีประสิทธิภาพแค่ไหน

  • เพิ่มผลกำไร : ยิ่ง Conversion Rate สูง, ยิ่งมีโอกาสสร้างยอดขายและรายได้มากขึ้นโดยไม่ต้องเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์

  • ลดต้นทุน : การปรับปรุง Conversion Rate ช่วยให้คุณใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด, ลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่

ปัจจัยที่มีผลต่อ Conversion Rate

  • ประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) : เว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย, โหลดเร็ว, และมีเนื้อหาที่น่าสนใจ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้เป็นลูกค้า

  • การออกแบบเว็บไซต์ : การจัดวางองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์, การใช้สี, และการเลือกฟอนต์ ล้วนมีผลต่อการตัดสินใจของผู้เข้าชม

  • เนื้อหา : เนื้อหาที่ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย, มีคุณภาพ, และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและกระตุ้นให้ผู้เข้าชมดำเนินการตามเป้าหมาย

  • Call to Action (CTA) : ปุ่มหรือข้อความ CTA ที่ชัดเจน, ดึงดูดความสนใจ, และบอกผู้เข้าชมว่าควรทำอะไร จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเกิด Conversion

วิธีเพิ่ม Conversion Rate

  • ทำ A/B Testing : ทดสอบองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น ปุ่ม CTA, สี, หรือตำแหน่งของรูปภาพ เพื่อดูว่าแบบไหนให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า

  • สร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ : ออกแบบ Landing Page ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย, มีเนื้อหาที่กระชับและชัดเจน, และมี CTA ที่โดดเด่น

  • ปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ : เว็บไซต์ที่โหลดช้าจะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกหงุดหงิดและออกจากเว็บไซต์ไปก่อนที่จะเกิด Conversion

  • ใช้เทคนิคการตลาดอื่นๆ ร่วมด้วย : เช่น การทำ SEO, การโฆษณาผ่าน Social Media, หรือการทำ Email Marketing เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์และโอกาสในการเกิด Conversion


    Conversion Rate


10. Customer Relationship Management (CRM) : 

กลยุทธ์และเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ตั้งแต่การเก็บข้อมูลพื้นฐาน การติดตามพฤติกรรมการซื้อ ไปจนถึงการให้บริการหลังการขาย เป้าหมายหลักของ CRM คือ การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพิ่มความพึงพอใจ และกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำ

ทำไม CRM ถึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

  • เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง : CRM ช่วยให้คุณเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างละเอียด ทำให้เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ตรงใจลูกค้า

  • สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี : เมื่อคุณรู้จักลูกค้าดีขึ้น คุณก็สามารถมอบประสบการณ์ที่ตรงใจและเป็นส่วนตัวให้กับพวกเขาได้ เช่น การส่งข้อเสนอพิเศษที่ตรงกับความสนใจ หรือการให้บริการหลังการขายที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

  • เพิ่มยอดขายและรักษาฐานลูกค้า : การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าผ่าน CRM นำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ซึ่งส่งผลให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ และมีแนวโน้มที่จะแนะนำแบรนด์ของคุณให้กับคนอื่นๆ

  • วัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์ : CRM ช่วยให้คุณติดตามและวัดผลประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้ ทำให้สามารถปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

CRM กับการตลาดออนไลน์: ทำงานร่วมกันอย่างไร?

  • เก็บข้อมูลลูกค้าจากช่องทางออนไลน์ : CRM สามารถเชื่อมต่อกับช่องทางการตลาดออนไลน์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรืออีเมล เพื่อเก็บข้อมูลลูกค้าและติดตามพฤติกรรมของพวกเขา

  • สร้างแคมเปญการตลาดออนไลน์ที่ตรงใจ : ข้อมูลจาก CRM ช่วยให้คุณแบ่งกลุ่มลูกค้าและสร้างแคมเปญการตลาดออนไลน์ที่ตรงกับความสนใจของแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

  • มอบประสบการณ์ส่วนบุคคล : CRM ช่วยให้คุณส่งข้อความหรืออีเมลที่มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงสำหรับลูกค้าแต่ละรายได้ เช่น การส่งข้อเสนอวันเกิด หรือการแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับประวัติการซื้อของลูกค้า

  • ติดตามผลและปรับปรุง : CRM ช่วยให้คุณวัดผลประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดออนไลน์ และนำข้อมูลที่ได้มาปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น


11. Domain Authority : 

คะแนนที่ Moz พัฒนาขึ้นเพื่อประเมินความน่าเชื่อถือและอำนาจของเว็บไซต์ โดยมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 100 ยิ่งคะแนน DA สูงเท่าไร ก็ยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google มากขึ้นเท่านั้น

ทำไม Domain Authority จึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

  • เพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google : เว็บไซต์ที่มี DA สูงมีแนวโน้มที่จะได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าในผลการค้นหา ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นและมีโอกาสในการสร้างยอดขายหรือ Conversion ที่สูงขึ้น

  • สร้างความน่าเชื่อถือ : คะแนน DA สูงเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพและน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าชมและเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณ

  • ดึงดูด Backlink คุณภาพ : เว็บไซต์ที่มี DA สูงมักจะได้รับ Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่มีคุณภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของเว็บไซต์และส่งผลดีต่อการจัดอันดับในระยะยาว

ปัจจัยที่ส่งผลต่อ Domain Authority

  • คุณภาพและปริมาณของ Backlink : Backlink จากเว็บไซต์ที่มี DA สูงและเกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณมีผลอย่างมากต่อการเพิ่มคะแนน DA

  • คุณภาพของเนื้อหา : การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพสูง น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ต่อผู้ชม จะช่วยดึงดูดผู้เข้าชมและเพิ่มโอกาสในการได้รับ Backlink

  • อายุของโดเมน : โดยทั่วไปแล้ว เว็บไซต์ที่มีอายุมากจะมี DA สูงกว่าเว็บไซต์ใหม่ เนื่องจากมีเวลาในการสร้างความน่าเชื่อถือและสะสม Backlink มากกว่า

  • โครงสร้างเว็บไซต์และประสบการณ์ผู้ใช้ : เว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ดี ใช้งานง่าย และมีประสบการณ์ผู้ใช้ที่ยอดเยี่ยม จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของผู้เข้าชมและส่งผลดีต่อการจัดอันดับ

วิธีเพิ่ม Domain Authority

  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ : มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชม และมีความยาวที่เหมาะสม

  • สร้าง Backlink คุณภาพ : พยายามสร้างความสัมพันธ์กับเว็บไซต์อื่น ๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ และขอ Backlink จากเว็บไซต์ที่มี DA สูง

  • ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณโหลดเร็ว ใช้งานง่าย และรองรับการใช้งานบนมือถือ

  • โปรโมทเนื้อหาของคุณ : แชร์เนื้อหาของคุณบนโซเชียลมีเดีย และใช้กลยุทธ์การตลาดอื่น ๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง


12. E-commerce : 

ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล และ การตลาดออนไลน์ ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจ E-commerce ประสบความสำเร็จในการเข้าถึงลูกค้า สร้างยอดขาย และเติบโตอย่างยั่งยืน

ทำไมการตลาดออนไลน์จึงสำคัญสำหรับ E-commerce?

  • เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น : อินเทอร์เน็ตเปิดโอกาสให้ธุรกิจ E-commerce เข้าถึงลูกค้าได้ทั่วโลก ไม่จำกัดเพียงแค่ในพื้นที่

  • สร้างแบรนด์และความน่าเชื่อถือ : การตลาดออนไลน์ช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) และความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ E-commerce

  • เพิ่มยอดขายและผลกำไร : การตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสามารถกระตุ้นยอดขายและเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจ

  • วัดผลได้ : เครื่องมือการตลาดออนไลน์ต่างๆ ช่วยให้คุณสามารถวัดผลและติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ E-commerce ควรใช้

  • SEO (Search Engine Optimization) : ปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google เพื่อเพิ่มการมองเห็นและเข้าถึงลูกค้า

  • Content Marketing : สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ เพื่อดึงดูดลูกค้า สร้างความสัมพันธ์ และเพิ่มโอกาสในการขาย

  • Social Media Marketing : ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า โปรโมทสินค้า และสร้างแบรนด์

  • Email Marketing : ส่งอีเมลถึงลูกค้าเพื่อแจ้งข่าวสาร โปรโมชั่น หรือเนื้อหาที่น่าสนใจ เพื่อรักษาความสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขาย

  • Paid Advertising : ลงโฆษณาออนไลน์บนแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จในการทำการตลาดออนไลน์สำหรับ E-commerce

  • รู้จักลูกค้าของคุณ : ทำความเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงใจ

  • สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า : ตั้งแต่การออกแบบเว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย ไปจนถึงการให้บริการลูกค้าที่ดีเยี่ยม

  • วัดผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง : ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญการตลาดออนไลน์ และปรับปรุงกลยุทธ์อยู่เสมอ


13. Page Authority : 

คะแนนที่บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือและอำนาจของแต่ละหน้าเว็บไซต์ของคุณ โดยมีคะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 100 ยิ่งคะแนน PA สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งบ่งบอกว่า Google มองว่าหน้านั้น ๆ มีคุณภาพและน่าเชื่อถือมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการจัดอันดับในผลการค้นหา

ทำไม Page Authority ถึงสำคัญ?

ลองนึกภาพว่า Google เป็นบรรณารักษ์ที่คอยจัดเรียงหนังสือในห้องสมุดขนาดใหญ่ Google ต้องการนำเสนอหนังสือ (หรือเว็บไซต์) ที่ดีที่สุดและเกี่ยวข้องที่สุดให้กับผู้ใช้งาน Page Authority ก็เปรียบเสมือนตราประทับที่บ่งบอกว่าหนังสือเล่มนี้ (หรือหน้าเว็บนี้) มีคุณค่าและควรค่าแก่การอ่าน

ดังนั้น หากคุณต้องการให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ และดึงดูดผู้เข้าชมจำนวนมาก การสร้าง Page Authority ให้แข็งแกร่งจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องให้ความสำคัญ

วิธีเพิ่ม Page Authority

  • สร้างคอนเทนต์คุณภาพสูง : คอนเทนต์ที่ดีมีคุณค่าจะดึงดูดผู้เข้าชมให้เข้ามาอ่านและแบ่งปัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนลิงก์ที่ชี้มายังเว็บไซต์ของคุณ (Backlink) และส่งผลดีต่อ PA

  • สร้าง Backlink คุณภาพ : Backlink จากเว็บไซต์ที่มี PA สูงจะช่วยเพิ่ม PA ของคุณได้อย่างมาก แต่ต้องระวังอย่าสร้าง Backlink ที่ไม่มีคุณภาพหรือมาจากเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้อง เพราะอาจส่งผลเสียต่อเว็บไซต์ของคุณได้

  • ปรับปรุง On-Page SEO : การทำ On-Page SEO ให้ดี เช่น การใช้ Keyword ที่เหมาะสม การเขียน Meta Description ที่น่าสนใจ และการปรับปรุงความเร็วในการโหลดเว็บไซต์ ก็มีส่วนช่วยเพิ่ม PA ได้เช่นกัน

  • สร้าง Internal Link : การเชื่อมโยงระหว่างหน้าเว็บไซต์ของคุณเอง (Internal Link) จะช่วยให้ Google เข้าใจโครงสร้างเว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น และยังช่วยกระจาย PA ไปยังหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์อีกด้วย


14. Engagement Rate : 

ตัวเลขที่บ่งบอกถึงระดับความสนใจและการมีปฏิสัมพันธ์ของผู้ชมที่มีต่อเนื้อหาของคุณ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือช่องทางออนไลน์อื่นๆ โดยทั่วไปแล้ว การมีส่วนร่วมอาจรวมถึงการกดไลค์ คอมเมนต์ แชร์ บันทึกโพสต์ หรือแม้แต่การใช้เวลาบนหน้าเว็บไซต์ของคุณนานๆ

ทำไม Engagement Rate ถึงสำคัญ?

  • บ่งบอกถึงคุณภาพของเนื้อหา : Engagement Rate ที่สูงแสดงให้เห็นว่าเนื้อหาของคุณน่าสนใจ ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย และสามารถสร้างคุณค่าให้กับพวกเขาได้

  • เพิ่มโอกาสในการมองเห็น : ยิ่งมีคนมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณมากเท่าไหร่ อัลกอริทึมของแพลตฟอร์มต่างๆ ก็จะยิ่งมองเห็นเนื้อหานั้นมากขึ้น ส่งผลให้มีคนเห็นเนื้อหาของคุณมากขึ้นไปอีก

  • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : การมีส่วนร่วมกับลูกค้าเป็นประจำจะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดี และเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นลูกค้าที่ภักดีในอนาคต

  • ส่งผลต่อ SEO : Search Engine อย่าง Google ให้ความสำคัญกับเว็บไซต์ที่มี Engagement Rate สูง เพราะถือเป็นสัญญาณว่าเว็บไซต์นั้นมีคุณภาพและผู้ใช้งานชื่นชอบ

วิธีเพิ่ม Engagement Rate

  • สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ : เนื้อหาที่ให้ข้อมูล ความบันเทิง หรือแรงบันดาลใจ จะดึงดูดผู้ชมให้มีส่วนร่วมได้มากกว่า

  • ใช้ภาพและวิดีโอ : เนื้อหาที่ประกอบด้วยภาพและวิดีโอที่สวยงามและน่าสนใจ มักจะได้รับการมีส่วนร่วมมากกว่าเนื้อหาที่เป็นข้อความล้วนๆ

  • ตั้งคำถามและกระตุ้นการสนทนา : การถามคำถามหรือขอความคิดเห็นจากผู้ชม จะช่วยกระตุ้นให้พวกเขามีส่วนร่วมและแสดงความคิดเห็น

  • ตอบกลับคอมเมนต์และข้อความ : การตอบกลับคอมเมนต์และข้อความจากผู้ชมอย่างรวดเร็วและเป็นกันเอง จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและทำให้พวกเขารู้สึกว่าคุณใส่ใจ

  • จัดกิจกรรมและเกม : การจัดกิจกรรมหรือเกมที่น่าสนใจ จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและสร้างความสนุกสนานให้กับผู้ชม


Engagement Rate

15. Lookalike Audience : 

กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน คือ กลุ่มผู้ใช้บนแพลตฟอร์มออนไลน์ (เช่น Facebook, Instagram) ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มลูกค้าเดิมของคุณ ไม่ว่าจะเป็นในด้านข้อมูลประชากรศาสตร์ ความสนใจ พฤติกรรม หรือการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของคุณ

ทำไม Lookalike Audience ถึงสำคัญต่อการตลาดออนไลน์?

  • ขยายฐานลูกค้า : ค้นพบกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีโอกาสสูงที่จะสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ

  • เพิ่มประสิทธิภาพโฆษณา : ยิงโฆษณาไปยังกลุ่มคนที่ "ใช่" ลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)

  • สร้าง Brand Awareness : เข้าถึงผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะสนใจแบรนด์ของคุณ เพิ่มการรับรู้และสร้างความจดจำ

วิธีสร้าง Lookalike Audience

  1. เลือกแหล่งข้อมูล : กำหนดกลุ่มลูกค้าเดิมที่คุณต้องการใช้เป็นต้นแบบ เช่น ผู้ติดตามเพจ ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์

  2. กำหนดขนาด : เลือกขนาดของกลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกัน โดยขนาดที่เล็กลงจะมีความแม่นยำสูง แต่ขนาดที่ใหญ่ขึ้นจะเข้าถึงผู้ใช้ได้กว้างกว่า

  3. สร้างและใช้งาน : ใช้เครื่องมือของแพลตฟอร์มที่คุณต้องการ (เช่น Facebook Ads Manager) เพื่อสร้าง Lookalike Audience และนำไปใช้ในการกำหนดเป้าหมายโฆษณา

เคล็ดลับการใช้ Lookalike Audience ให้ได้ผล

  • เลือกแหล่งข้อมูลคุณภาพสูง : ยิ่งข้อมูลต้นแบบมีคุณภาพมากเท่าไหร่ กลุ่มเป้าหมายที่คล้ายกันก็จะมีศักยภาพมากขึ้นเท่านั้น

  • ทดสอบและปรับปรุง : ทดลองใช้ Lookalike Audience ขนาดต่างๆ และวัดผล เพื่อหาขนาดที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแคมเปญของคุณ

  • ใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ : Lookalike Audience เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการตลาดออนไลน์ ควรใช้ร่วมกับกลยุทธ์อื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด


16. Traffic :

ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตและประสบความสำเร็จ หากเปรียบเว็บไซต์เป็นร้านค้า Traffic ก็เปรียบเสมือนลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมชม ยิ่งมี Traffic มากเท่าไหร่ โอกาสในการสร้างยอดขายและขยายฐานลูกค้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

Traffic สำคัญอย่างไรต่อการตลาดออนไลน์

  • สร้างการรับรู้และเข้าถึง : Traffic ช่วยเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และทำให้ผู้คนรู้จักธุรกิจของคุณมากขึ้น

  • เพิ่มโอกาสในการขาย : ยิ่งมีคนเข้าชมเว็บไซต์มาก โอกาสในการขายสินค้าหรือบริการก็ยิ่งสูงขึ้น

  • เก็บข้อมูลเชิงลึก : Traffic ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้เข้าชม นำไปสู่การปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • เพิ่มอันดับในเครื่องมือค้นหา (SEO) : เว็บไซต์ที่มี Traffic สูงมักได้รับการจัดอันดับที่ดีในผลการค้นหา ซึ่งนำไปสู่ Traffic ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วิธีเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์

การเพิ่ม Traffic ให้เว็บไซต์สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งแบบ Organic (ไม่เสียค่าใช้จ่าย) และ Paid (เสียค่าใช้จ่าย) แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีใด สิ่งสำคัญคือการสร้าง "คุณค่า" ให้กับผู้เข้าชม

  • สร้างคอนเทนต์คุณภาพ : เนื้อหาที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ความต้องการ และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ จะดึงดูดผู้เข้าชมและกระตุ้นให้พวกเขาแชร์คอนเทนต์ของคุณต่อไป

  • ทำ SEO : การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหา ช่วยเพิ่ม Traffic แบบ Organic ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ใช้โซเชียลมีเดีย : โปรโมทคอนเทนต์และสร้างปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตามบนโซเชียลมีเดีย เพื่อดึง Traffic เข้าสู่เว็บไซต์

  • ลงโฆษณา : การลงโฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads หรือ Facebook Ads เป็นวิธีที่รวดเร็วในการเพิ่ม Traffic แบบ Paid


17. Keyword Research :

กระบวนการค้นหาและวิเคราะห์คำหรือวลีที่ผู้คนใช้ในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยมีจุดประสงค์เพื่อ:

  • เข้าใจความต้องการของลูกค้า : คุณจะรู้ว่าลูกค้าของคุณกำลังมองหาอะไร สนใจเรื่องอะไร และใช้คำใดในการค้นหา

  • สร้างคอนเทนต์ที่ตรงใจ : คุณสามารถสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า และดึงดูดให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ

  • เพิ่มโอกาสในการติดอันดับ : การใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาที่เกี่ยวข้องมากขึ้น

ทำไม Keyword Research ถึงสำคัญสำหรับการตลาดออนไลน์?

  • เพิ่ม Traffic : เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา คุณจะมีโอกาสได้รับ Traffic หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์มากขึ้น

  • เพิ่ม Conversion : เมื่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณพบเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการ พวกเขามีแนวโน้มที่จะดำเนินการตามที่คุณต้องการ เช่น ซื้อสินค้า สมัครสมาชิก หรือติดต่อสอบถาม

  • สร้าง Brand Awareness : การปรากฏตัวบนหน้าแรกของ Google ช่วยเพิ่มการรับรู้และความน่าเชื่อถือของแบรนด์ของคุณ

วิธีการทำ Keyword Research

  1. ระบุกลุ่มเป้าหมาย : คุณต้องรู้ว่าใครคือลูกค้าของคุณ พวกเขามีความสนใจอะไร และมีปัญหาอะไรที่คุณสามารถช่วยแก้ไขได้

  2. รวบรวม Keyword เบื้องต้น : Brainstorm คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ รวมถึงคำที่คุณคิดว่าลูกค้าของคุณน่าจะใช้ในการค้นหา

  3. ใช้เครื่องมือ Keyword Research : มีเครื่องมือมากมายที่ช่วยในการวิจัยคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner,Ahrefs, SEMrush, Ubersuggest ซึ่งจะช่วยให้คุณค้นหาคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง ปริมาณการค้นหา และระดับการแข่งขัน

  4. วิเคราะห์คู่แข่ง : ศึกษาว่าคู่แข่งของคุณใช้คีย์เวิร์ดอะไรในการทำ SEO และคอนเทนต์

  5. เลือก Keyword ที่เหมาะสม : พิจารณาจากปริมาณการค้นหา ระดับการแข่งขัน และความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ

ตัวอย่างการใช้ Keyword Research ในการตลาดออนไลน์

สมมติว่าคุณทำธุรกิจขายเสื้อผ้าออนไลน์ คุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการค้นหาคีย์เวิร์ดกว้าง ๆ เช่น "เสื้อผ้าแฟชั่น" หรือ "เสื้อผ้าผู้หญิง" จากนั้นใช้เครื่องมือ Keyword Research เพื่อค้นหาคีย์เวิร์ดที่เจาะจงมากขึ้น เช่น "เสื้อผ้าแฟชั่นผู้หญิงราคาถูก" หรือ "เสื้อผ้าทำงานผู้หญิง" คุณสามารถนำคีย์เวิร์ดเหล่านี้ไปใช้ในการสร้างคอนเทนต์บนเว็บไซต์ บล็อก หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดลูกค้าที่สนใจสินค้าของคุณ


18. Return on Investment (ROI) : 

ตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นว่าเงินทุกบาทที่คุณลงทุนไปกับการตลาดออนไลน์นั้นสร้างผลตอบแทนกลับมาให้คุณมากน้อยเพียงใด ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้น จำนวนลูกค้าใหม่ หรือการรับรู้แบรนด์ที่ดีขึ้น การคำนวณ ROI ช่วยให้คุณ:

  • ตัดสินใจลงทุนอย่างชาญฉลาด : ROI ช่วยให้คุณเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแคมเปญหรือช่องทางการตลาดต่างๆ เพื่อตัดสินใจว่าควรลงทุนที่ไหนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

  • ปรับปรุงกลยุทธ์ : การติดตาม ROI อย่างสม่ำเสมอช่วยให้คุณระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของกลยุทธ์ ช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงและพัฒนากลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

  • พิสูจน์ความคุ้มค่า : ROI เป็นเครื่องมือสำคัญในการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จของการตลาดออนไลน์ต่อผู้บริหารหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ

วิธีคำนวณ ROI การตลาดออนไลน์

สูตรคำนวณ ROI พื้นฐานคือ :

ROI = (รายได้จากการลงทุน - ต้นทุนการลงทุน) / ต้นทุนการลงทุน x 100

ตัวอย่าง :

  • คุณลงทุนทำโฆษณา Facebook 10,000 บาท

  • ได้ยอดขายเพิ่มขึ้น 50,000 บาท

  • ROI = (50,000 - 10,000) / 10,000 x 100 = 400%

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาในการคำนวณ ROI

  • ระยะเวลา : การตลาดออนไลน์บางรูปแบบอาจใช้เวลาในการเห็นผลตอบแทน ดังนั้นควรพิจารณา ROI ในระยะยาวด้วย

  • ต้นทุนที่เกี่ยวข้อง : นอกจากค่าโฆษณาแล้ว ยังมีต้นทุนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าจ้างพนักงาน ค่าเครื่องมือต่างๆ

  • คุณค่าที่จับต้องไม่ได้ : บางครั้งผลตอบแทนอาจไม่สามารถวัดเป็นตัวเงินได้โดยตรง เช่น การรับรู้แบรนด์ที่ดีขึ้น ควรพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ด้วย

เคล็ดลับเพิ่ม ROI การตลาดออนไลน์

  • กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน : ก่อนเริ่มแคมเปญใดๆ ควรกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนและวัดผลได้ เพื่อให้สามารถติดตาม ROI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • เลือกช่องทางที่เหมาะสม : ศึกษาและทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพื่อเลือกช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสมและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ทดสอบและปรับปรุง : การตลาดออนไลน์เป็นเรื่องของการทดลองและเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ทดสอบแคมเปญต่างๆ และปรับปรุงกลยุทธ์อยู่เสมอเพื่อให้ได้ ROI ที่ดีที่สุด

  • ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ : เครื่องมือวิเคราะห์ เช่น Google Analytics ช่วยให้คุณติดตามและวัดผลแคมเปญต่างๆ ได้อย่างละเอียด เพื่อให้สามารถคำนวณ ROI และปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความสำคัญของ ROI ในการตลาดออนไลน์

  • ช่วยในการตัดสินใจ : ROI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ว่าควรลงทุนในช่องทางการตลาดออนไลน์ใดบ้าง โดยเลือกช่องทางที่ให้ ROI สูงสุด

  • วัดประสิทธิภาพของแคมเปญ : ROI ช่วยในการวัดประสิทธิภาพของแต่ละแคมเปญการตลาดออนไลน์ ทำให้ทราบว่าแคมเปญใดประสบความสำเร็จและแคมเปญใดควรปรับปรุง

  • ปรับปรุงกลยุทธ์ : ROI ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นไปที่ช่องทางและแคมเปญที่ให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด

  • เพิ่มความโปร่งใส : ROI ช่วยเพิ่มความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยแสดงให้เห็นว่าเงินลงทุนถูกนำไปใช้อย่างไรและเกิดผลตอบแทนอย่างไร




19. Target Audience : 

กลุ่มคนที่มีแนวโน้มที่จะสนใจสินค้าหรือบริการของคุณมากที่สุด พวกเขามีลักษณะเฉพาะ เช่น อายุ เพศ รายได้ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการบริโภค ที่สอดคล้องกับสิ่งที่ธุรกิจของคุณนำเสนอ การทำความเข้าใจ Target Audience จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

ทำไมกลุ่มเป้าหมายจึงสำคัญ?

  • ประหยัดงบประมาณ : การกำหนดกลุ่มเป้าหมายช่วยให้คุณโฟกัสทรัพยากรไปยังกลุ่มคนที่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณจริงๆ ลดการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดที่ไม่ตรงกลุ่ม

  • สื่อสารได้ตรงใจ : เมื่อคุณรู้จักกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี คุณจะสามารถสร้างเนื้อหาและเลือกช่องทางการสื่อสารที่ตรงกับความสนใจและพฤติกรรมของพวกเขา ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความประทับใจ

  • เพิ่มยอดขาย : การตลาดที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นลูกค้า เพราะคุณนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการในเวลาที่เหมาะสม

วิธีการหากลุ่มเป้าหมาย

  • วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า : ศึกษาข้อมูลลูกค้าปัจจุบันของคุณ เช่น อายุ เพศ ที่อยู่ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ เพื่อสร้างโปรไฟล์กลุ่มเป้าหมาย

  • สำรวจตลาด : ทำการสำรวจหรือวิจัยตลาดเพื่อทำความเข้าใจความต้องการและปัญหาของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

  • ใช้เครื่องมือออนไลน์ : เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์และโซเชียลมีเดียสามารถช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมและความสนใจของผู้เข้าชม

ตัวอย่างการนำไปใช้

  • สร้างเนื้อหาที่ตรงใจ : หากกลุ่มเป้าหมายของคุณเป็นวัยรุ่น คุณอาจใช้ภาษาที่เป็นกันเองและรูปภาพที่สดใสในการสื่อสาร

  • เลือกช่องทางที่เหมาะสม : ถ้ากลุ่มเป้าหมายของคุณใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่บน Instagram คุณควรเน้นการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้

  • ปรับแต่งข้อความโฆษณา : สร้างข้อความโฆษณาที่พูดถึงปัญหาหรือความต้องการของกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะ


20. Lead Generation : 

การสร้างลูกค้าเป้าหมาย คือกระบวนการในการดึงดูดและเปลี่ยนผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณให้กลายเป็นลูกค้าที่มีศักยภาพ (Leads) ซึ่งในโลกของการตลาดออนไลน์ Lead Generation มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากช่วยให้ธุรกิจสามารถ:

  • สร้างฐานลูกค้า : เพิ่มจำนวนผู้ที่สนใจในธุรกิจของคุณ

  • เพิ่มยอดขาย : เปลี่ยน Leads ให้กลายเป็นลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือบริการจริง

  • สร้างความสัมพันธ์ : สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า สร้างความภักดีต่อแบรนด์

กลยุทธ์ Lead Generation สำคัญในการตลาดออนไลน์

  1. Content Marketing : สร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและน่าสนใจ เช่น บทความ บล็อก วิดีโอ อินโฟกราฟิก เพื่อดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์และกระตุ้นให้พวกเขาลงทะเบียนรับข้อมูลหรือติดต่อกลับ

  2. SEO (Search Engine Optimization) : ปรับแต่งเว็บไซต์และเนื้อหาให้ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหาของ Google ทำให้ผู้ที่กำลังค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณพบเห็นเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น

  3. Social Media Marketing : ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ โปรโมทเนื้อหา และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้าง Leads

  4. Email Marketing : ส่งอีเมลที่มีเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกลุ่มเป้าหมาย เพื่อกระตุ้นให้ผู้รับสนใจและดำเนินการตามที่ต้องการ เช่น ดาวน์โหลดเอกสาร สมัครรับข่าวสาร หรือซื้อสินค้า

  5. Paid Advertising : ใช้โฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงและกระตุ้นให้พวกเขากรอกแบบฟอร์มหรือติดต่อกลับ

เคล็ดลับในการทำ Lead Generation ให้ประสบความสำเร็จ

  • กำหนดกลุ่มเป้าหมาย : รู้จักลูกค้าของคุณให้ดี เพื่อสร้างเนื้อหาและเลือกช่องทางการตลาดที่เหมาะสม

  • สร้าง Landing Page ที่มีประสิทธิภาพ : ออกแบบหน้า Landing Page ให้ดึงดูดใจและกระตุ้นให้ผู้เข้าชมกรอกข้อมูลติดต่อ

  • ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่ชัดเจน : บอกให้ผู้เข้าชมรู้ว่าคุณต้องการให้พวกเขาทำอะไร เช่น "ดาวน์โหลด eBook ฟรี" หรือ "สมัครรับข่าวสาร"

  • วัดผลและปรับปรุง : ติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ Lead Generation อย่างสม่ำเสมอ เพื่อนำข้อมูลมาวิเคราะห์และปรับปรุงกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น


สรุป

การทำความเข้าใจศัพท์การตลาดออนไลน์ในยุคดิจิทัล โดยชี้ให้เห็นว่าธุรกิจออนไลน์เป็นช่องทางสำคัญในการเติบโต และการรู้ศัพท์เฉพาะทางจะช่วยให้สื่อสารกับทีมงานและคู่ค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่ความเข้าใจกลยุทธ์และการวัดผลลัพธ์ทางการตลาดออนไลน์ได้ดียิ่งขึ้น

Mask Hunter ได้รวบรวม 20 ศัพท์สำคัญในการตลาดออนไลน์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและแข่งขันในยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นความสำคัญของการสื่อสาร, การเข้าใจกลยุทธ์, และการวัดผลลัพธ์

ศัพท์ที่กล่าวถึงครอบคลุม ตั้งแต่การทดสอบ A/B Testing, การสร้าง CTA, การวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics), การใช้ API, การทำความเข้าใจ Algorithm ไปจนถึงการสร้าง Brand Awareness, การเพิ่ม CTR, Conversion Rate, การบริหารลูกค้าสัมพันธ์ (CRM), การสร้าง Domain Authority & Page Authority, การเพิ่ม Engagement Rate, การใช้ Lookalike Audience, การเพิ่ม Traffic, การทำ Keyword Research, การคำนวณ ROI, การกำหนด Target Audience, และการสร้าง Lead

แต่หากคุณไม่มีเวลา หรือต้องการผู้เชี่ยวชาญช่วยดูแลการตลาดออนไลน์ให้ Mask Hunter พร้อมให้คำปรึกษาและบริการแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็น

  • การสร้างเว็บไซต์

  • การจัดการ Social Media

  • การยิงแอดโฆษณา

  • การทำ Content Marketing

  • การทำ SEO

ติดต่อ Mask Hunter วันนี้ เพื่อยกระดับคลินิกของคุณ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน!

💬 ติดต่อเราทาง Line: @‌MaskHunter

หรือคลิกลิงค์เพื่อรับคำปรึกษา : https://www.maskhunter.co.th/contact

TEL : 093-162-6491


FAQ :

1. ทำไมการทำความเข้าใจ "ศัพท์การตลาดออนไลน์" จึงมีความสำคัญต่อธุรกิจ?

การทำความเข้าใจศัพท์การตลาดออนไลน์มีความสำคัญอย่างยิ่งในยุคดิจิทัล เนื่องจากช่วยให้ธุรกิจสามารถ:

  • สื่อสารอย่างมืออาชีพ: การรู้จักศัพท์เฉพาะทาง ช่วยให้การสื่อสารภายในทีมการตลาด หรือกับเอเจนซี่ภายนอก เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความคลาดเคลื่อนในการทำงาน

  • เข้าใจกลยุทธ์: ช่วยให้เข้าใจและวิเคราะห์กลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่นำมาใช้ รวมถึงสามารถให้ข้อเสนอแนะ หรือปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • ติดตามผลลัพธ์: การรู้จักตัวชี้วัดต่างๆ (KPIs) เช่น Conversion Rate, ROI, Bounce Rate ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินผล และปรับปรุงแคมเปญการตลาดออนไลน์ได้อย่างแม่นยำ


2. "A/B Testing" คืออะไร? มีประโยชน์อย่างไร?

A/B Testing คือ การทดสอบองค์ประกอบของเว็บไซต์ โฆษณา หรืออีเมล โดยเปรียบเทียบ 2 เวอร์ชั่น (A และ B) เพื่อดูว่าเวอร์ชั่นใดมีประสิทธิภาพมากกว่าในการบรรลุเป้าหมาย เช่น เพิ่มยอดขาย หรือ เพิ่มจำนวนผู้สมัครสมาชิก

ประโยชน์ของ A/B Testing:

  • ช่วยให้ตัดสินใจบนพื้นฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ แทนการคาดเดา

  • เพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ โฆษณา และอีเมล ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค

  • ลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบต่างๆ ก่อนนำไปใช้งานจริง


3. "Conversion Rate" คืออะไร? ธุรกิจควรให้ความสำคัญกับตัวชี้วัดนี้หรือไม่?

Conversion Rate คือ อัตราส่วนที่แสดงให้เห็นว่ามีผู้เข้าชมเว็บไซต์กี่เปอร์เซ็นต์ที่ดำเนินการตามเป้าหมายที่ธุรกิจกำหนด เช่น การซื้อสินค้า การสมัครสมาชิก หรือการดาวน์โหลดเอกสาร

Conversion Rate เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของเว็บไซต์และแคมเปญการตลาดออนไลน์ ธุรกิจควรให้ความสำคัญ และพยายามปรับปรุง Conversion Rate ให้สูงขึ้นอยู่เสมอ เพื่อ:

  • วัดผลความสำเร็จของกลยุทธ์

  • เพิ่มผลกำไร โดยไม่จำเป็นต้องเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม

  • ลดต้นทุน ในการหาลูกค้าใหม่


4. "SEO" และ "Algorithm" มีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือ กระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหาของ Search Engine เช่น Google

Algorithm คือ ชุดคำสั่งหรือกฎเกณฑ์ที่ Search Engine ใช้ในการจัดอันดับเว็บไซต์ ซึ่ง Algorithm จะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น คุณภาพของเนื้อหา ความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา และประสบการณ์ผู้ใช้งาน

ดังนั้น การทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องเข้าใจ Algorithm ของ Search Engine เพื่อปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับเกณฑ์ที่ Algorithm กำหนด


5. "Domain Authority" คืออะไร? ส่งผลต่อธุรกิจอย่างไร?

Domain Authority (DA) คือ คะแนนที่พัฒนาโดย Moz ใช้ประเมินความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ โดยมีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 100 ยิ่งคะแนน DA สูง ยิ่งบ่งบอกว่าเว็บไซต์นั้นมีโอกาสติดอันดับต้นๆ ในผลการค้นหาของ Google มากขึ้น

Domain Authority ส่งผลต่อธุรกิจ ดังนี้:

  • เพิ่มโอกาสในการติดอันดับ บน Google นำไปสู่การเข้าถึงผู้ชมที่มากขึ้น

  • สร้างความน่าเชื่อถือ ให้กับแบรนด์ ในสายตาของผู้บริโภคและ Search Engine

  • ดึงดูด Backlink คุณภาพ จากเว็บไซต์อื่นๆ ซึ่งส่งผลดีต่อ SEO ในระยะยาว


6. ฉันจะติดต่อ Mask Hunter ได้อย่างไร?

คุณสามารถติดต่อ Mask Hunter ได้ 4 ช่องทาง คือ

💬 ติดต่อเราทาง Line: @‌MaskHunter

หรือคลิกลิงค์เพื่อรับคำปรึกษา : https://www.maskhunter.co.th/contact

TEL : 093-162-6491


ดู 8 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentários


ทำไมต้องใช้บริการ
รับทำการตลาดออนไลน์ ?

DIGITALMARKETING การตลาดออนไลน์

บริษัท แมสค์ ฮันเตอร์ เราคือทีมที่มีประสบการณ์ กับบริการรับทำการตลาดออนไลน์ที่โดดเด่นไม่ว่าจะเป็น SEO, Facebook Ads, Google Ads, Premium Website Design หรือพัฒนาเว็บไซต์ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตนี่คือเหตุผลเพื่อสร้างความสำเร็จด้วยแนวคิดของคนยุคใหม่ ที่ตอบโจทย์ธุรกิจทุกขนาดและทุกประเภท

 

UNLOCK ธุรกิจให้ใกล้ชิดกลุ่มเป้าหมาย

logo-web-02.png

DIGITAL  MARKETING BUSINESS SOLUTION

image.png
bottom of page